เมื่อ 225 ล้านปีก่อน ดินแดนที่ไร้ผู้คน ท่ามกลางความลี้ลับ ทุกทวีปติดกัน รวมเป็นทวีปยักษ์ เรียกว่า แพนเจีย ตอนนั้น ยามเย็นบนพื้นโลก มองดูเหมือนฉากในนิยายวิทยาศาสตร์ บนพื้นดิน ความมืดครึ้มน่าขนลุกครอบคลุมไปทั่วบรรยากาศ ประมาณ 20 ล้านปี ก่อนมีหลักฐานว่าอุกาบาตลูกหนึ่งปะทะกับโลก ก่อให้เกิดการสูญพันธ์ ซึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไปกว่า 90% หลังจากมหัตภัย โลกใหม่ก็เกิดขึ้น
มันเป็นยุคไทรแอสสิก ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของสัตว์เลื้อยคลาน การใช้ประโยชน์ของความว่างเปล่าที่หลงเหลือจากการสูญพันธุ์ สัตว์เลื้อยคลานวิวัฒนาการหลากหลายสายพันธุ์ ตอนนี้พวกมันมีทุกรูปร่างและทุกขนาด บางชนิดเป็นพวกกินพืชเชื่อง ๆ บางชนิดเป็นนักล่า พวกแมลงมีอยู่ทั่วไป มากว่า 100 ล้านปี และบางชนิดตัวใหญ่ ในไม่ช้ารูปแบบเดิมจะหมดไป และไดโนเสาร์จะครองโลก 45 ล้านปีหลังจากการสูญพันธุ์ โลกก็ถูกยึดครองโดยไดโนเสาร์อีกครั้ง หลักฐานบ่งบอกว่าดาวหางเข้ามาในอิทธิพลแรงดึงดูดของโลก และสลายตัวเหวี่ยงเศษส่วนที่แตกออกมาลงสู่พื้นดิน 2 ชิ้น ชึ้นแรกตกลงในแคนนาดา อีกชิ้นนึงลงฝรั่งเศส และก่อตัวป็นแนวยาว 5,000 กิโลเมตร อีก 2 ชิ้นไปตกในมิเนโซต้าและยูเครน แต่ละแห่งหมอกควันของหินกลายเป็นไอกระจายอยู่ในบรรยากาศบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ ยุคไทรแอสสิกสิ้นสุดลง และยุคจูราสิกก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ดินแดนเป็นของยุคไดโนเสาร์ และในตอนนั้นพวกมันตัวใหญ่ขึ้นและเก่งขึ้น นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งที่สุด ที่เราได้เห็นในประวัติศาสตร์ของโลก
ภาพสลักหินหน้าประธานาธิบดีบนภูเขา รัชมอร์ ในเซาท์ ดาโกต้า เป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ เมื่อ 65 ล้านปีก่อน มันเป็นผืนดินสุดท้ายที่ไดโนเสาร์เคยเดิน เมื่ออุกาบาตขนาดใหญ่กว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ พุ่งลงมากระทบกับแหลม ยูคาตานของเม็กซีโกผลกระทบคือกลายเป็นแอ่งกว้างกว่า 300 กิโลเมต และส่งหินที่กลายเป็นไอลุกโชติช่วงไปทางตะวัตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วเกือบ 16 กิโลเมตรต่อวินาที ชั่วพริบตา ทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พืชและสัตว์เผชิญชะตากรรมแตกต่างกัน บ้างก็ถูกความร้อนเผาไหม้ บ้างก็ตายจากแรงปะทะ 1 ชั่วโมงหลังจากการปะทะ เมฆหมอกของฝุ่นและซากปรักหักพัง กระจายทั่วอเมริกาเหนือ อุณหภูมิลดลง และฝนกรดเริ่มตกลงมา ขณะที่ไนโตรเจนถูกความร้อนเผาไหม้หมดไปจากบรรยากาศ ดวงอาทิตย์ไม่สาดแสงอีกหลายเดือน
เมื่อส่องมาก็เผยให้เห็นถึงการทำลายล้าง 90% ของต้นไม้มีใบทั้งหมด และ 70% ของสัตว์สูญหายไป ไดโนเสาร์ส่วนใหญ่สูญพันธุ์แล้วในตอนนี้ มีหลายทฤษฏีอธิบายว่า เหตุใดไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ร่องรอยในหินบ่งบอกถึงเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เราพบอีริเดียม หินเขี้ยวหนุมาน เพชรขนาจิ๋ว ตามชายฝั่งแม่น้ำ เรามีหลักฐานที่ดีที่สุดบางอย่างแสดงว่า เกิดอะไรขึ้นในระยะ 2-3 ปี สุดท้ายที่ไดโนเสาร์ครองโลก ตัวอย่างเช่นเมื่อเราขึ้นไปตามแม่น้ำ เรดเดียร์ เราเหมือนกลับย้อนไปยุค 10 ล้านปีก่อนที่ไดโนเสาร์จะสาบสูญ ซึ่งมีไดโนเสาร์ 35สาย พันธุ์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ 5 ล้านปีก่อนจบสิ้น เหลืออยู่เพียง 25 หรือ 20 สายพันธุ์ และก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มีเหลืออยู่เพียง 6 สายพันธุ์เท่านั้นในบริเวณนี้
นับจากการสูญพันธุ์เพอร์เมียนที่ทำให้ไดโนเสาร์เจริญเติบโต ไม่มีเหตุการณ์ใดเป้นภัยพิบัติและจบสิ้นเช่นนี้ แต่ชีวิตก็คืนสู่สภาพเดิม ในเซาท์ ดาโกต้า เต่าตัวหนึ่งมุ่งไปหาแสงแดด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เริ่มออกจากที่ซ่อนไดโนเสาร์ชนิดเดียวที่เรามองเห็น คือนกที่บินร่อนเหนือหัวเรา เพื่อเตือนใจเราถึงยักษ์ใหญ่ที่สาบสูญไป ไดโนเสาร์เป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของชีวิต จากอลาสก้าถึงเม็กซีโก พวกมันท่องอเมริกาเหนือเป็นจำนวนมหาศาล ตลอดเวลา 160ล้านปั ที่ไม่ราบรื่น ในยุคของมัน มันใหญ่ที่สุด ฉลาดที่สุด และเป็นสัตว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกคงเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ขนาดใหญ่นั้น หรือน่าประทับใจเช่นนั้นจะผ่านมาทางนั้นอีก แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดจิ๋ว ทีเรียกว่า เพอกาโตเรียส อนาคตเป็นของพวกมัน วันหนึ่งลูก ๆ ของมันจะเดินอยู่บนดวงจันทร์และนึกย้อนกลับไปถึงความน่าสะพรึงกลัวในยุคที่ไดโนเสาร์ท่องอเมริกา
(823)