ปริศนาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ข้อสงสัย จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตสัตว์อันหลากหลาย “เมก้า บีสต์” (mega beasts) สัตว์ร่างยักษ์เช่นเดียวกับไดโนเสาร์ ซึ่งเคยครอบครองโลก แต่บางอย่างเกิดขึ้นพวกมันเริ่มล้มตาย สายพันธุ์ใหญ่นับสิบกลับสูญพันธุ์ และไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าทำไม สิ่งใดที่เคยสังหาร เมก้า บีสต์ยุคของ เมก้า บีสต์ รุ่งเรืองที่สุด เมื่อช่วงต้นยุค (Pleistocene) เกือบ 2 ล้านปีก่อน
เมก้า บีสต์ ยึดครองสี่มุมของโลก ตั้งแต่อเมริกาเหนือถึงนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บางชนิดก็เป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง ทุกชนิดล้วนรูปร่างใหญ่ทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปกะทันหัน เมก้า บีสต์ เริ่มตายลงการสูญพันธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ในชั่วพริบตา ประชากรทั้งหมดหายไป สิ่งแรกที่สูญพันธ์ไป คือ เมก้า บีสต์ แห่งดินแดนออสเตรเลีย ราว 50,000ปีก่อน รวมถึงนักล่าที่ดุร้าย สิงโต มาร์ซูเพียล ต่อมาราว 11,000 ปีก่อน ที่อเมริกันมีการสูญพันธ์ของสัตว์ใหญ่อีกมากมาย เช่น ตัวสโลธยักษ์ แมมมอธ และบีเวอร์ยักษ์ เป็นต้น ชะตากรรมที่เลวร้ายของเมก้า บีสต์ ยังคงดำเนินต่อไป ลีเมอร์ยักษ์แห่งมาดากัสการ์ได้สูญพันธ์ไปเมื่อราว 2,000 ปีก่อนและการทำลายล้างก็มาสิ้นสุดลงบนเกาะอันแสนไกลในประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อ 700ปี ที่ผ่านมานี้เอง เหยื่อของที่นี่คือ โมอาห์ นกที่สูงถึง 9 ฟุต เมก้า บีสต์ ทั้งหมดในโลกที่สูญพันธ์ ล้วนแล้วแต่ขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำลายพวกมันซึ่งต่างจากไดโนเสาร์ที่ตกเป็นเหยื่อของอุกกาบาต ไม่มีเหตุการณ์ใด้ชัดเจนพอที่จะอธิบายการล้มตายของ เมก้า บีสต์ได้
บางคนเชื่อว่า การสูญพันธ์น่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ ในขณะที่บางคนเชื่อว่า อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงช่วงปลายยุคน้ำแข็ง มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงที่สุดของสภาพอากาศโลกในรอบสองหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ทฤษฎีใหม่ๆบอกว่า ฆาตกรคือโรคร้ายนั่นเองแต่ก็ยังไม่มีทฤษฎีเหมาะกับคำอธิบายที่เกิดขึ้น เมื่อ 23,000 ปีก่อนครึ่งทางเวลาระหว่างการสูญพันธ์ของ เมก้าบีสต์ แห่งอเมริกา และออสเตรเลีย เกิดสภาพอากาศหนาวเย็นเข้าปกคลุมโลก ฤดูหนาวทั่วโลกกินระยะเวลานานถึง 6,000 ปี ธารน้ำแข็งนั้นกระจายไปทั่วโลกบริเวณขนาดใหญ่ในยุโรปและอเมริกาเหนือถูกฝังอยู่ใต้น้ำแข็งหลายตัน แต่แล้ว เมื่อ 16,000 ปีก่อน น้ำแข็งก็เริ่มละลายมีผลทำให้โลกอุ่นขึ้นกะทันหันธารน้ำแข็งเริ่มละลาย มีน้ำมากมายถูกปลดปล่อยออกมา น้ำหลากเข้าท่วมทุกพื้นที่ ทำลายทุกอย่าง สาเหตุนี้เองทำให้หลายคนเชื่อทฤษฎีความหนาวเย็น เป็นสิ่งทำลายเหล่าสัตว์ใหญ่ทั้งหลายลงชั่วพริบตา แต่แล้วก็มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า เมก้า บีสต์ พวกนี้มีการปรับตัวต่อสภาวะอากาศ และภูมิประเทศ ที่เปลี่ยนอย่างกะทันหันมันเริ่มต้นช่วงปลายยุคน้ำแข็ง เมื่อมนุษย์อพยพไปยังแผ่นดินซึ่งแสงแดดอันอบอุ่นทำให้เริ่มใช้เป็นที่อยู่ได้ และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ที่ไม่รู้จัก การล่าจึงเริ่มขึ้น มนุษย์นั้นคือนักล่าที่เชี่ยวชาญ มีสมองมีความคิดที่จะประดิษฐ์อาวุธที่ใช้ในการล่า ในการโจมตีสัตว์ต่างๆอย่างชาญฉลาด พวกเมก้า บีสต์ ไม่เคยพบมนุษย์มาก่อน และไม่ได้มองว่ามนุษย์เป็นนักล่า พวกมันจึงง่ายต่อการถูกสังหาร ดูเหมือนทฤษฎีล่าสังหารนี้จะเป็นคำตอบของทุกข้อสงสัยได้แต่แล้วก็ทฤษฎีใหม่แทรกเข้ามา “ทฤษฎีความเจ็บป่วย” ไวรัสเป็นปริศนาครั้งใหญ่ชนิดหนึ่งของธรรมชาติ มันเป็นเพชฌฆาตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและหายไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่สังหาร เมก้า บีสต์ อาจไม่ใช่ทฤษฎีความหนาวเย็นทฤษฎีการล่าสังหารหรือการเจ็บป่วยทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งแต่หากเป็นส่วนผสมของทั้งสามสิ่ง ที่สามารถเชื่อมโยงกัน ซึ่งสัตว์เหล่านี้พยายามรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แล้วก็ต้องเตรียมรับมือจากนักล่าอย่างมนุษย์ พร้อมกันนั้นพวกมันอาจจะต้องเผชิญกับไวรัสหรือโรคภัยต่างๆ ในคราวเดียวกัน แต่บทสรุปที่สำคัญ อาจจะเป็นมนุษย์ก็ได้ พวกเขาอาจพบแผ่นดินผืนใหม่ และอยู่อาศัย พวกเขาตัดต้นไม้ ต้องการใช้น้ำ ไถดิน ถางป่า รวมถึงการล่าด้วย มันเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ จึงเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อป่าและสัตว์ทั้งหลายมันอาจเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีแห่งความก้าวหน้าของมนุษย์นั่นเองเป็นพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงของมนุษย์ติ
(501)