ภูเขาไฟยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติ Yellowstone Park ในสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญทำนายว่าภูเขาไฟดังกล่าวอาจจะประทุขึ้นมาอีกภายใน 70 ปีข้างหน้า แรงระเบิดซึ่งคาดว่าจะรุนแรงกว่าภูเขาไฟธรรมดาหลายร้อยเท่า ส่งเถ้าถ่านจำนวนมหาศาลขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกครั้งใหญ่
Supervolcanoes แตกต่างจากภูเขาไฟทั่วไป คือไม่ได้มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟ แต่มันซ่อนตัวอยู่ลึกใต้พื้นดิน และยากต่อการตรวจพบ ภูเขาไฟโดยทั่วไปเกิดจากการที่หินละลายใต้เผิวโลก แต่สำหรับ Supervolcanoe นั้นแทนที่หินละลายเหล่านี้จะระเบิดออกมาที่ผิวโลกปลือกโลก ถูกแรงดันมหาศาลภายในโลกผลักดันให้ปะทุออกมาบนมัน
กลับเกิดการสะสมกันก่อนเป็นเวลาหลายพันปีเกิดเป็นบ่อหินละลายขนาดยักษ์ ซึ่งอยู่ใต้พื้นโลกลึกลงไป นักธรณีวิทยาเรียกว่าบ่อหินละลายใต้ดินนี้ว่า Magma chamber
หินละลายหรือ Magma ที่สะสมอยู่ใน Magma chamber นั้นจะทับถมกันจนหนาหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งมันจะดูดซับเอาก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์ และ คารบอนไดอ๊อกไซด์ไว้ ก๊าซเหล่านี้เมื่อสะสมกันเวลาหลายๆ พันปีก็จะเกิดแรงดันมหาศาล และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะระเบิดประทุขึ้นมาเหนือผิวโลก ด้วยความรุนแรงมากกว่าการระเบิดจากภูเขาไฟธรรมดาหลายร้อยเท่า
การระเบิดของ Supervolcanoes นี้จะไม่เหมือนการระเบิดของภูเขาไฟธรรมดาออกมาจากปล่องภูเขาไฟ เมื่อSupervolcanoes ประทุขึ้นมันจะพ่นหินละลายออกสู่ผิวโลกด้วยความเร็วสูง Magma ที่สะสมอยู่ใน Magma chamber ใต้ดินจะถูกพ่นออกมาและหมดไปอย่างรวดเร็วทำให้เปลือกโลกที่อยู่ข้างบนยุบตัวลงไป เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ เหมือนกับหลุมที่เกิดจากการพุ่งชน ของอุกกาบาต ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียกหลุมที่เกิดจากการระเบิดของ Supervolcanoes ว่า Caldora
นอกจากนั้นเถ้าถ่านภูเขาไฟจากการระเบิดครั้งใหญ่นี้จะปกคลุมบรรยากาศ ก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะสะท้อนแสงอาทิตย์ไม่ให้ตกลงมาสู่พื้นโลกได้เต็มที่ ทำให้อุณหภมิโลกลดลง อย่างรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าฤดูหนาวนิวเคลียร์ ( nuclear winter )
สำหรับที่อุทยานแห่งชาติ Yellowstone Park ในอเมริกานั้น จากหลักฐานทางธรณีวิทยาพบว่า ได้เคยเกิดการระเบิดของ Supervolcanoes มาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้งแต่ละครั้งห่างกันเป็นเวลาประมาณ 600,000 ปี
(3095)