ในวันที่ 17 ธันวาคม 1903 มีบางอย่างเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือ น้อทแคโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุดมนุษย์ก็พบวิธีที่สามารถขึ้นไปบินร่วมกับนกและเป็นครั้งแรกที่เครื่องจักรสามารถนำพามนุษย์เหินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ สิ่งที่พี่น้องตระกูลไรท์ทำได้ช่วยเปิดท้องฟ้าและย่อโลกไปพร้อมกัน มันจะเปลี่ยนอารยธรรมไปตลอดกาลเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ของการบิน ตอนนี้ ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเครื่องบินและผู้คนบินอยู่กลางอากาศ
คนอีกจำนวนมากที่จะรอขึ้นไปบนฟ้า เครื่องบินลงจอดและทะยายขึ้นฟ้าทุก ๆ 3.5 วินาทีมันเป็นสิ่งที่คนทำ จนเป็นกิจวัตร และเกือบจะเป็นธรรมชาติไปแล้วการสร้างเครื่องบินเองก็กลายเป็นกิจวัตรเช่นกัน ชิ้นส่วนกว่า 6 ล้านชิ้น เส้นลวดยาว 170 ไมล์ท่อยาว 5 ไมล์โดยเฉลี่ย และเงินทุนมูลค่า 100 ล้านเหรียญโดยเฉลี่ยแล้วเครื่องบินทุกลำจะถูกสร้างใหม่ 2 – 3 ครั้ง เพื่อความปลอดภัย ระบบอันหลากหลาย ทั้งด้านกลไกและอิเล็กโทรนิกส์จำเป็นต้องถูกสร้างขึ้นหลายชิ้น สำหรับเครื่องจักรที่ใหญ่ รวดเร็วและทรงพลังถึงเพียงนี้
ส่วนประกอบของเครื่องบินนั้น ช่วงกลางหรือตัวเครื่อง เป็นเพียงปล่องอะลูมินั่มยาวๆ โดยมีพื้นวางอยู่ที่ระดับเศษสามส่วนสี่ของความสูง และมีที่นั่งติดอยู่กับพื้น โครงสร้างปีกทำหน้าที่เป็นถงเชื้อเพลิงด้วยีกหนึ่งอย่าง จึงช่วยประหยัดเนื้อที่และน้ำหนัก ปีกยึดติดกับตัวเครื่อง ต่ำลงมาจากพื้น ทำให้มันมีความแข็งแกร่งอย่างมหาศาล และที่ยึดติดกับปีกที่เครื่องยนต์ นอกจากจะช่วยดึงเครื่องให้แล่นไปข้างหน้าและทรงตัวอยู่กลางอากาศแล้ว ยังช่วยสร้างพลังงานสำหรับการควบคุม และสำหรบลูกเรือและผู้โดยสารอีกด้วย ดังนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นกิจวัตรคน 200 – 300 คนนั่งอยู่ภายในปล่องโลหะ สูงเหนือพื้นดินถึง 7 ไมล์ อุณหภูมิของอากาศภายนอกอยู่ที่ประมาณ –40 องศา และปล่องนี้ก็บินผ่านฟ้าด้วยความเร็ว 600 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่คนที่อยู่บนเครื่องบินนั้นกลับอบอุ่น เพราะในบรรดาวิธีการเดินทางทั้งหมด นี่เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด
เหตุผลหนึ่งเกิดจากการฝึกของนักบิน ทุกๆ ปี ทักษะและการตอบสนองของนักบินทุกคนต้องผ่านการทดสอบในเครื่องจำลองการบิน (ซิมูเลเตอร์)ภาวะฉุกเฉินหลายรูปแบบจะถูกจำลองขึ้น ห้องนักบินทั้งห้องจะกลิ้งไปมาเหมือนเครื่องบินจริงๆ และนักบินต้องมองให้มันเป็นจริง เมื่อเกิดปัยหาขึ้น นักบินที่ 1 และนักบินที่ 2 จะต้องร่วมมือกันตรวจสอบรายการต่าง ๆ จนกว่าจะสามารถแยกแยะและแก้ปัญหาได้ คอมพิวเตอร์มักจะทำหน้าที่นี้โดยอัตโนมัติแต่ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ยังมีหน้าที่ต้องทำให้ได้เช่นกัน และพวกเขาก็ไม่สามารถรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบนพื้นดินเบื้องล่าง การบินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการควบคุมบนเครื่อง อีกส่วนหนึ่งคือหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ หน้าที่ของงานนี้คือป้องกันมิให้เครื่องบินหลายพันลำที่เหินฟ้าอยู่ พุ่งเข้าชนกัน สนามบินสำคัญทุกแห่งจะควบคุมพื้นที่บางส่วนของน่านฟ้าโลก และเครื่องบินทั้งหมดที่บินอยู่ในเขตนั้น เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบการบินโดยเรด้าห์ พูดกับนักบินผ่านวิทยุ และทำหน้าที่ประดุจตำรวจจราจร พวกเขาสามารถสั่งให้เครื่องบิน บินวนลดระดับจนได้จนกว่าเครื่องที่ลงจอดแล้ว วิ่งออกไปพ้นเส้นทาง เพื่อปล่อยพื้นที่ให้กับลำถัดไปที่จะลงจอด ไกลออกไปจากสนามบินคือ น่านฟ้าสากล เมื่อปราศจากเส้นประสีขาวบอกทางหรือป้ายถนน เลนการจราจรเหล่านี้จึงต้องถูกควบคุมโดยเรด้าร์ และเสียงมนุษย์เท่านั้น ความสูงของเครื่องบินทุกลำได้รับการควบคุมเช่นเดียวกับระยะห่างจากเครื่องบินอื่น ๆ รวมไปถึงทิศทางที่เครื่องบินกำลังมุ่งหน้าไป แต่ไม่ได้หมายความว่านักบินเป็นเพียงตัวกลางระหว่างหอควบคุม และการควบคุมเครื่องบินก็เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะอย่างสูง และหลักการทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ว่าเครื่องนั้นจะเป็นเครื่องขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม
การมองเห็นเป็นทักษะความอยู่รอดที่สุดของนักบิน ความมืด สภาพอากาศเลวร้าย หรือการหลงทาง มักจะร้ายกาจพอ ๆ กับคมกระสุน นักบินยุคแรกนำทางโดยถนนหรือแม่น้ำถ้าหากว่ามองเห็น ถ้าหากมองไม่เห็น พวกเขาก็ไม่สามารถบอกทิศทางได้ และถ้านักบินมองไม่เห็นกระทั้งขอบฟ้า มันยากที่จะรู้ว่าคุณไปไหน และไปทางใด แม้แต่แรงโน้นถ่วงยังหลอกคุณได้ ตัวอย่างเช่น การตีลังกา แรงเคลื่อนไหวก่อให้เกิดแรงกดดันที่ทำให้คนยึดติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่ว่าพวกเขาจะหงายหรือคว่ำอยู่ก็ตามภายในเครื่องบิน ระหว่างตีลังกา ดังนั้น หนึ่งในสิ่งแรกที่นักเรียนการบินต้องเรียนรู้ก็คือ เมื่อทัศนวิสัยไม่ชัดเจน จงอย่าเชื่อประสาทอื่นๆ แต่จงวางใจในอุปกรณ์บนเครื่อง การวางใจในอุปกรณ์มากกว่าสัญชาตญาณเป็นเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่งที่นักบินต้องเรียนรู้
(96)